วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

บ้าน อ.ย้ง 9

09.09.59
     เป็นวันที่ได้ไปบ้านของ อ.ย้ง ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาออกแบบคณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
     ก้าวแรกเมื่อเข้าไปถึงพบว่าบ้านดูค่อนข้างใหม่ๆไม่ดูเป็นบ้านเก่าเลย ซึ่งในภายหลังก็รู้ว่าบ้านหลังนี้ก็สร้างมามากกว่า 10 ปีแล้ว แต่อะไรทำให้ ความงาม บรรยายกาศ บ้านนี้ดูสดใหม่ อาจเป็นเพราะเราไม่เคยมาหรือเป็นเพราะเป็นอะไรสักอย่างที่สถาปนิกได้ใส่มันลงไปในตัวสถาปัตยกรรมจึงทำให้สถาปัตยกรรมดูมีชีวิตได้ขนาดนี้ 

   
  มีหลายๆสิ่งที่ได้ติดตัวไปจากบ้านหลังนี้ ทั้งสิ่งที่อาจารย์ได้กล่าว และจากการสังเกตของเราเอง
บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ออกแบบเพื่อตอบสนองต่อเขตร้อนชื่น 
   อาจารย์ย้งก็ได้น้ำลักษณะของบ้านทรงไทยซึ่งเป็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่เหมาะสมมาใช้ โดยจะเห็นได้ว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นบ้านไม้เหมือนบ้านไทย ไม่ได้นำเอาบ้านไทยมาตั้ง แต่เป็นการน้ำรูปแบบมาประยุกต์ให้เข้ากับทังความชอบความต้องการด้วย 
   รูปแบบที่ว่าก็คือการยกบ้านให้สูงและมีใต้ถุนต่ำๆโดยเดิมทีก็เพื่อให้ลมผ่านได้บ้านเย็น แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาคือเมื่อวางระบบสาธารณูปโภคต่างไว้ใต้บ้านก็จะสามารถจัดการได้ง่ายเมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น การที่บ้านมีเปิดโล่งมากๆ นี่ก็เป็นการผสมผสานที่ลงตัวพอดีกับทางด้านศาสนาที่อาจารย์นับถือนี้คือ คริสต์นิกายคาทอลิก ซึ่งตัวอาจารย์เองก็หลงไหลด้านด้านสถาปัตยกรรมแบบกอธิคที่มีลักษณะสูงชะลูดอยู่แล้ว ทำให้คอนเซปบ้านค่อนข้างลงตัวกับความต้องการและความชอบ 
  เมื่อเข้ามาในบ้านจะเห็นได้ว่าการที่มีช่องเปิดมาก นั้นก็ส่งผลให้เห็นสภาพแวดล้อมภาพนอกค่อนข้างมาก ซึ่งสภาพแวดล้อมรอบบ้านก็จะเป็นต้นไม้ เป็นสวนธรรมชาติ ในส่วนนี้อาจารย์ได้คิดไว้และซึ่ง ก็มีแนวคิดคล้ายกับโรงดรียนรุ่งอรุณ นั้นคือการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สำคัญและถูกต้อง เพราะมนุย์เราไม่สามารถแยกตัวออกจากธรรมชาติ ไม่สามารถกีดกันธรรมชาติได้ 
  ทางด้านโครงสร้างของบ้านก็มีส่วนประกอบหลักๆคือ คอนกรีตเปลือย และเหล็ก ซึ่งเมื่อเข้าบ้านมาเราก็จะเห็นการแสดงออกถึงความเป็นสัจจะวัสดุ โดยอาคารจะไม่ซ่อนโครงสร้างแต่อย่างใด เราจะเห็นคานเหล็ก ตรงเหล็ก ที่ยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด นั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เสริมให้บ้านดูมีความงดงามมากขึ้น 
  อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ สถาปัตยกรรมกับธรรมชาติควรจะถ่วงดุลกันไว้ให้พอดี หากดูบ้านหลังนี้แล้ว ซึ่งมีต้นจามจุรีตั้งอยู่ตรงกลางสวนของบ้าน ต้นจามจุรีมีขนาดใหญ้พุ่มแผ่ปกคลุมพื้นที่สวนแทบทั้งหมด และมีการผังบ้านเป็นรูปตัว L นั้นค่อนข้างลงตัว หากบ้านใหญ่กว่านี้หรือเล็กกว่านี้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็จะแตกต่างกันไปอีกแบบ


   ประเด็นที่น่าสนใจ นั้นคือ การออกแบบที่บังคับ circulation ของผู้ใช้งาน ในบ้านของอาจารย์ มีอยู่จุดหนึ่งที่ผมสนใจนั้นคือ การที่่อาจารย์พาเราเดินเข้าบ้านเพื่อไปพบส่วนต่างๆของบ้าน ดูเป็นอะไรที่มีระบบ ได้มองได้เห็นทุกส่วนของบ้านจากการเดินครั้งนี้ รับรู้ถึงสิ่งที่สถาปนิกต้องการจะสื่ออกมาให้เรารับรู้ว่าจะต้องผ่านพื้นที่นี้ เพื่อไปเจอกับพื้นที่นี้  และตรงที่อารย์ได้กล่าวว่า มันมีทั้งที่มองเห็นได้แต่เข้าถึงไม่ได้ เข้าถึงได้แต่มองเห็นไม่ได้จากภายนอก และเข้าถึงได้และมองเห็นได้ ซึ่งcirculation จะเป็นตัวกำหนดสิ่งต่างๆเหล่านี้
  ส่วนอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจเช่นกัน คือ ประเด็นในเรื่องของหลังคา รูปแบบของหลังคา เนื่องจากบ้านหลังนี้สร้างมาเพื่อตอบสนองต่อเขตร้อนชื้น ในส่วนของหลังคาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ เขตร้อนชื้นนั้นมันมักมีฝนตกอยู่บ่อยครั้ง ลักษณะของหลังคาที่สามารถระบายน้ำฝน องศาที่เหมาะสม หรือแม้แต่ลักษณะของรูปแบบหลังคา เช่น ปั้นหยา หรือ มนิลา เป็นต้น ว่าควรมีลักาณะอย่างไรจึงเหมาะสมที่สุดกับสภาวะฝนตก ในเขตร้อนชื้น
  สิ่งต่างๆที่ได้จากบ้านหลังนี้ ไม่เพียงแค่รับสุนทรียภาพที่สวยงาม แต่ยังได้ความรู้ทั้งจากอาจารย์ และการสังเกตุการ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และเป็นสิ่งที่สามารถนำมาปรับใช้กับ งานออกแบบอื่นๆอีกได้มากมาย

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2559

case study 1

   หอไอเฟล เป็นlandmark ของประเทศฝรั่งเศษ เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ ซึ่งหลายๆคนก็นึกถึงสิ่งๆนี้เป็นสิ่งแรกเมื่อพูดถึงประเทศฝรั่งเศษ
   พื้นที่ที่ออกแบบนั้นเป็นเหมือนหน้าบ้านของโรงเรียนรุ่งอรุณ ซึ่งนี้ในที่นี้หากนำประเด็นเรื่อง landmark มาใช้ ให้คนเมื่อมองเห็นก็รู้ทันทีว่าที่นี่โรงเรียนรุ่งอรุณ


  ต้นโกงกาง ลักษณะของต้นโกงกางคือเป็นไม้ยืนต้นมีลักษณะเด่นคือ รากที่อยู่เหนือขึ้นมาบนผิวน้ำและเห็นได้อย่างชัดเจน รากของต้นโกงกางแตกกิ่งสาขากระจายลงสู่พิ้นเป็นท่อลำเลียงอาหารที่จะนำน้ำไปสู่ลำต้น เพื่อการเจริญเติบโตผลิดอกออกผล
  เป็นประเด็นที่น่าสนใจและนำเอามาใช้กับการออกแบบ ลองเปรียบรากที่มีหลายเส้นเป็น พื้นที่ต่างๆที่เกิดกิจกรรม ต่างๆ เช่น ร้านค้า ร้านหนังสือ หรือตลาด ฯ รากเหล่านั้นจะนำไปสู่ความเป็นหนึ่ง ความเป็นรุ่งอรุณที่ผลิดอกออกผล แตกออกเป็นพุ่มและเจริญเติบโตให้คนได้รับรู้โดยทั่วกัน


Swiss pavilion : incidental space เป็นการออกแบบที่มีจุดเด่นคือ Free form ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วจะให้ผู้ใช้ได้ประสบการณ์และสัมผัสถึงความรู้สึกที่ผู้ออกแบบต้องการจะสื่ออย่างมาก คือลักษณะที่เหมือนการอยู่ในถ้ำ หรือบ้างก็ว่าเป็นดั่งเมฆก็มี
  สิ่งที่สำคัญคือความต้องการให้ผู้ใช้ได้รู้สึดถึงสิ่งๆที่ต้องการจะสื่อ ในการออกแบบเราควรจะให้ผู้ใช้ได้รับความรู้สึกๆนั้นๆมากที่สุด ให้รับรู้ว่าที่แห่งนี้คือ โรงเรียนรุ่งอรุณ ซึ่งก็คือ มีความสัมพันธ์กับธรมชาติมากๆ การเรียนรู้จากธรรมชาติและเป็นอีกสิ่งที่สำคัญนั้นคือการให้ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า สัปปายะ 
ลักษณะของต้นไม้ที่ปกคลุมโรงแรม 5 ดาวแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด เมื่อผู้ออกแบบต้องการให้โรงแรม เข้าไปอยู่ร่วมกับธรรมชาติซึ่งเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ใหม่ที่สร้างให้กับแขกผู้เข้าใช้
  ลักษณะแบบนี้สามารถนำมาปรับใช้กับการรออกแบบของเราได้ การที่โรงเรียนรุ่งอรุณจะกลมกลืนไปกับธรรมชาตินั้นก็เป็นความต้องการของโรงดรียนอยู่แล้ว แต่อาจเพิ่มด้วยการใช้ไม้เลื้อยเข้าไปช่วยดังเคสตัวอย่างนั้นเอง